แรกที่สุดขอแสดงความยินดีกับ “ชัยชนะ” ของ พรรคเพื่อไทย ในฐานะไทยรักไทยคืนชีพ เหมือนที่เคยแสดงความยินดีกับพรรคพลังประชาชนมาแล้วครั้งหนึ่ง กว่าจะเป็นเสียงข้างมากในวันนี้ แต่ละท่านก็ได้ช่วยฝ่าฟันอุปสรรคทางเทคนิคต่างๆ มาอย่างทรหดอดทน เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอย่างน้อยก็เป็นกำลังใจสำหรับมวลชนผู้สละชีวิต และวิญญาณให้กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมานานปี
แต่ สิ่งที่ตามมาติดๆ คือคำเตือนว่าอย่าประมาท เรา “ชนะ” ใน ระบบเลือกตั้งเพราะประชาชนท่านมุ่งมั่นศรัทธาอย่างท่วมท้น จนผู้อยู่ตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตยที่ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจให้ เราเข้าสู่อำนาจรัฐในขั้นต้นและไม่ท้าทายอำนาจของประชาชนในขั้นตอนนี้ผู้ ที่ก่อรัฐประหารมาแล้ว สั่งฆ่านายกรัฐมนตรีเลือกตั้งมาแล้ว และสั่งฆ่าหมู่ประชาชนที่ไร้อาวุธใน เวลากลางวันแสกๆ กลางถนนของเมืองหลวงมาแล้ว เราจะหวังให้เขาสยบยอมต่อมติมหาชนง่ายๆ ได้หรือ
คำ ถามคือเขาจะเดินหมากในศึกชิงเมืองครั้งนี้ต่อไปอย่างไรมากกว่างาน ของรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยชี้นำจึงมี ๒ ส่วน ได้แก่ การบริหารราชการแผ่นดินตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือก ตั้ง กับการปกป้องระบอบประชาธิปไตยจากศัตรูรอบด้าน
อุปมา เหมือนเราได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านหลังใหม่ที่สวยงามจับตา เราตื่นเต้นยินดีและช่วยกันลงแรงตกแต่งบ้านจนน่าอยู่ บางคนทาสี บางคนถูพื้น บางคนรดน้ำต้นไม้ บางคนต่อไฟ ต่างช่วยกันตามความรู้ความสามารถของตน ไม่นานบ้านนั้นก็จะพร้อมมูลและให้ความผาสุกกับผู้อยู่อาศัยได้ยิ่งขึ้น
ปัญหา คือบ้านหลังนี้มีงูพิษแอบอยู่ในซอกมุม มันเห็นคนมากมันก็หลบลึกเข้าไปในมุมมืดจนเรามองไม่เห็นตัว เพราะมันรู้ดีว่าหากออกมาเลื้อยแสดงตัวชัดเจน คนในบ้านคงรุมตีตายแน่
สิ่ง ที่เจ้าบ้านต้องช่วยทำคือ พร่ำเตือนและชี้ซอกมุมต่างๆ ที่งูเหล่านั้นอาจเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ เราต้องบอกคนในบ้านให้อยู่ในความรอบคอบระมัดระวังเสมอ เพราะเรายังไม่รู้ว่ามีงูกี่ตัว แต่ละตัวมีพิษสงร้ายกาจขนาดไหน
หาก ไม่คอยเตือนให้ต่อเนื่อง คนในบ้านอาจเพลิดเพลินเจริญใจกับบ้านใหม่ และแสวงหาความสำราญกันอย่างเต็มที่ จนพลาดท่าเสียทีถูกงูมันฉกกัดตายได้ในบ้านที่สวยงามนั้นเอง
เรา เคยผ่านประสบการณ์ของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวชและรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์มาแล้ว โรคเห่อชัยชนะจนลืมระวังพิษพยาบาทของศัตรูที่อยู่รายล้อมนั้น อาการสำคัญขั้นตรีทูตคือความล้มเหลวและความเสียหายในการเสริมสร้างความแข็ง แกร่งของระบอบประชาชนทั้งๆ ที่ประชาชน “ชนะ” แล้วอย่างน่าภูมิใจ
ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางปัจจัยเก่าๆ ที่ยังไม่เปลี่ยน อาทิ
กอง ทัพที่ยังยืนยันในใจว่าตนเองไม่รับคำสั่งจากรัฐบาล โดยเฉพาะกองทัพบก และโดยเฉพาะกับรัฐบาลของประชาชน เพราะถือว่ารัฐบาลเป็นเพียง “จ็อคกี้” ที่ ขี่ม้าให้กับเจ้าของคอกผู้อยู่เหนือขึ้นไปในโครงสร้างของอำนาจรัฐ ความหมายลึกลงไปอีกชั้นคือเป็นกองทัพรอรับคำสั่งจากผู้ที่อยู่เหนือขึ้นไป นั้นเอง หรือจะเรียกว่าผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญก็คงจะไม่ห่างจากความจริงนัก ซึ่งอาจเป็นคำสั่งให้ทำลายรัฐบาลนั้นได้ทุกเมื่อด้วย
สถาบัน ตุลาการที่ตัดสินคดีความตามนโยบายการเมืองของผู้มีบารมีฯ ถึงผู้พิพากษาที่เป็นไทแก่ตนเองจะมีมากและแสดงตัวชัดเจนอย่างกล้าหาญขึ้น แต่กระแสหลักของอำนาจศาลยังเป็นไปเพื่อการรักษาระบอบและสถานภาพเดิม (status quo) ของ ผู้มีบารมีฯ กฎหมายปัจจุบันจึงยังเดินตามหลักเดิมของกฎหมายตราสามดวงที่ชนชั้นปกครองทั้ง สามส่วนรวมอำนาจกันอย่างลงตัวและตัดประชาชนออกไปเสียจากสมการนั้น
สื่อ มวลชนกระแสหลักที่ยังถูกควบคุมด้วยสัญญา สัมปทาน ใบอนุญาต และผลประโยชน์ร่วมกับผู้มีอำนาจรัฐในทางอื่นๆ ถึงขั้นสะกดจิตตัวเองให้เห็นแต่ความดีงามอันล้นพ้นของฝ่ายหนึ่ง หรือหลอกตัวเองว่าอีกฝ่ายหนึ่งเลวทรามต่ำช้าจนคบไม่ได้ สุดท้ายก็เลยยืนคนละข้างกับมวลชนทั้งที่เรียกตัวเองอย่างเท่ว่าสื่อมวลชน ว่างปากขึ้นมาก็เรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคต่างๆ เสมือนตนเองมีเกียรติตามธรรมชาติอย่างสื่อสากลเขา
องค์กร ที่มิใช่รัฐ หรือ NGOs สาย ที่ประสานประโยชน์กันอย่างลงตัวแล้วยกเอาบารมีของตนไปค้ำประกันความมั่นคง ให้กับเจ้าของประเทศไทย โดยลืมประชาชนที่ตนเองเอามาอ้างทำมาหากินเสียสิ้น เราจึงได้ยินชื่อของนายแพทย์ประเวศ วะสี คุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ฯลฯ เสมอๆ เมื่อมีการปรับดุลอำนาจและเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ท่านผู้มีชื่อเสียงกึกก้องเหล่านี้จะยกอำนาจทางศีลธรรมจริยธรรม (moral authority) มา ชี้นำรัฐบาลนั้นๆ ให้เห็นโลกอย่างที่ตัวเองเห็น และทำให้เงินทองไหลมาในทางเดียวกันนั้นด้วย ในฐานะเงินสนับสนุนทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ฯลฯ
สิ่ง เหล่านี้มิได้เปลี่ยนไปตามมติมหาชนเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ และไม่ได้แปรผันตามการสู่อำนาจของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยเลย
ใคร ใกล้ศูนย์อำนาจของพรรคเพื่อไทยก็โปรดเป็นรัฐบาลไปให้ดีที่สุด นำอำนาจรัฐมาแปลงให้เป็นผลประโยชน์แก่มวลชนให้มากที่สุด แต่คนที่ไกลออกมาหน่อยหรือไม่ประสงค์จะวิ่งเข้าไปใกล้ ก็โปรดอยู่ด้วยกันในรอบนอกนี้ต่อไปเถิด ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กว้างไกลและลึกซึ้งกว่านี้กำลังจะเกิด และยังต้องการทุกท่านให้มาช่วยเป็นกำลังสนับสนุนอยู่
ขอความกรุณาท่านพี่น้องสองชินว่า อย่าเอาไข่ไปใส่ในตะกร้าเดียวกันหมด ตกแตกเมื่อไหร่ขบวนประชาธิปไตยอาจจะเสียหายอย่างแก้คืนไม่ได้.
phai-kaman
วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554
สุขสันต์วันชาติของประชาชน
วันนี้ เป็นวันชาติไทย เพราะเป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบที่อำนาจสูงสุดอยู่ในมือคนๆ เดียวมาสู่ระบอบประชาชนบนหลักการของสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค
ถึงการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจจะดำเนินมาตลอดเวลาเกือบ ๘๐ ปีจนถึงขนาดประกาศเปลี่ยนวันชาติไทยจาก ๒๔ มิถุนายน เป็น วันเฉลิมพระชนมพรรษา ซึ่งเป็นสัญญาณที่บอกชัดว่าอะไรต่อสู้อยู่กับอะไรมาตั้งแต่ต้น ความหมายทางประวัติศาสตร์ของการอภิวัฒน์สยามเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็ยังคงอยู่เช่นนั้น ไม่มีใครหรืออะไรจะมาทำให้เสื่อมลงไปได้
ส่วน การปฏิวัติสยามในครั้งนั้นถือได้ว่าสำเร็จหรือล้มเหลว และส่งผลดีเลวอย่างไรมาสู่การเมืองไทยปัจจุบันนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่วิญญูชนและนักวิชาการผู้เที่ยงธรรมจะต้องศึกษาและย้อน ไปอธิบายความกันต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้เกิดวุฒิภาวะทางประชาธิปไตย
นัก ประชาธิปไตยทุกคนควรถือเอาวันนี้เป็นวันชาติไทย ใครจะเฉลิมฉลองอย่างไรเป็นสิทธิแต่ละท่านที่จะพิจารณา แต่อย่างน้อยเราก็ควรที่จะถือเอาวันนี้เป็นสัญลักษณ์รวมการต่อสู้เพื่อ ประชาธิปไตยตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคตอย่างเป็นทางการ
บาง ท่านอาจจะหาความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย บางท่านอาจจะร่วมกิจกรรมเพื่อส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอันหลากหลาย และบางท่านอาจให้ความอนุเคราะห์ต่อนักสู้เพื่อมวลชนในวิถีทางต่างๆ ตามแต่กำลัง
ผลการ “ปรองดอง” จะเป็นอย่างไรต่อไปก็ไม่ทราบ “ระบอบไทย” จะ เป็นอย่างไรต่อไปก็ไม่รู้ แต่วันเฉลิมพระชนมพรรษาควรมีฐานะเพียงเท่านั้นใช่ไหม อุตส่าห์สร้างและฝังหัวด้วยคำขวัญกันมานานหลายสิบปีว่าบ้านเมืองนี้ตั้งอยู่ บน “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” แล้วเหตุใดต้องเอาสัญลักษณ์สองในสามคือ “ชาติ” และ “กษัตริย์” ไปรวมกันในวันเดียว ในขณะที่“ศาสน์” มีวันวิสาขบูชาที่กำหนดเอาไว้ให้เป็นวันประธานของตนเองต่างหากแล้วด้วย
การ เฉลิมพระเกียรติของกษัตริย์กระทำได้เสมอสำหรับคนที่มีฉันทาคติ และสามารถกระทำตรงต่อบุคคลผู้เป็นเป้าหมายได้ แต่ถ้านำไปผูกกับวันชาติและแสร้งลืมส่วนที่เป็นชาติเอาดื้อๆ เพราะไม่มีใครพูดถึง ก็จะดูราวกับว่าบ้านเมืองนี้ไม่มีสถาบันชาติ หรือทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าชาตินั้นเล็กกว่าบุคคล
๒๔ มิถุนายน มีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะเป็นวันชาติไทยทุกประการด้วยเหตุผลอันชัดเจน
ประการ ที่หนึ่ง การปฏิวัติประชาชนที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกของชาติเกิดขึ้นในวันนี้ ความเป็นชาติเกิดจากผู้นำและประชาชนรวมตัวกัน และในระบอบประชาธิปไตยนั้นผู้นำก็มาจากประชาชน ไม่ได้เกิดจากเหล็กไหลหรือกระบอกไม้ไผ่ เมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็นวันที่ตกลงกันว่าประชาชนจะอยู่อย่างไรกับกษัตริย์ วันนั้นก็เป็นวันสถาปนาชาติไทยขึ้นมาอีกครั้ง
ประการที่สอง การแยกชาติออกจากบุคคลเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง “ชาติ” ให้ เป็นอุดมการณ์ร่วมกัน รัฐที่เริ่มจากการปฏิวัติต่อสู้และรักษาความก้าวหน้าต่อมาจนเป็นรัฐ ประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อินเดีย อิสราเอล ฯลฯ ล้วนประสบความสำเร็จด้วยการแยกความเป็นชาติออกจากลัทธิบูชาบุคคลทั้งสิ้น
จอร์ช วอชิงตันปฏิวัติแยกตัวจากอังกฤษจนประสบความสำเร็จแล้วก็ลดตัวลงเล็กกว่าชาติ อยู่ในฐานะที่ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ของโลกใหม่ได้ แต่ก็ไม่ทำ
มหาตมะคานธีถึงจะมีฐานะอันศักดิ์สิทธิ์ ประหนึ่งเทพเจ้า แต่เขาก็แยกออกมารำลึกคนละส่วนกับความเป็นชาติของอินเดีย
เด วิด เบ็นกูเรียนคือบิดาผู้สร้างชาติอิสราเอลและเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก สุดท้ายก็ก้าวลงจากอำนาจไปทำสวนทำฟาร์มจนวาระสุดท้าย โดยไม่ต้องกลายเป็นเทพเจ้าของชาวยิว
เหล่านี้เป็นตัวอย่างของผู้นำที่เห็นแก่ชาติ
ประการ สุดท้าย มหาชนชาวไทยได้ต่อสู้เสียเลือดเสียเนื้อมาแล้วชัดเจนหลายครั้งหลายคราวว่า เขาต้องการมีส่วนรวมในฐานะพลเมืองของชาติ ไม่ใช่เพียงผู้อาศัยหรือประชาชนชั้นฝุ่นเมือง เขาจึงอยู่ในฐานะที่กล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่ารัฐนี้เป็นของเขาโดยแท้
๒๔ มิถุนายนจึงสมควรหวนกลับมาเป็นวันชาติ ใครที่ถือตนเองว่าเป็นนักประชาธิปไตยควรป่าวประกาศและแสดงออกร่วมกัน อย่างกว้างขวางว่าวันนี้เป็นวันชาติของประชาชนชาวไทย
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป.
ถึงการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจจะดำเนินมาตลอดเวลาเกือบ ๘๐ ปีจนถึงขนาดประกาศเปลี่ยนวันชาติไทยจาก ๒๔ มิถุนายน เป็น วันเฉลิมพระชนมพรรษา ซึ่งเป็นสัญญาณที่บอกชัดว่าอะไรต่อสู้อยู่กับอะไรมาตั้งแต่ต้น ความหมายทางประวัติศาสตร์ของการอภิวัฒน์สยามเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ก็ยังคงอยู่เช่นนั้น ไม่มีใครหรืออะไรจะมาทำให้เสื่อมลงไปได้
ส่วน การปฏิวัติสยามในครั้งนั้นถือได้ว่าสำเร็จหรือล้มเหลว และส่งผลดีเลวอย่างไรมาสู่การเมืองไทยปัจจุบันนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่วิญญูชนและนักวิชาการผู้เที่ยงธรรมจะต้องศึกษาและย้อน ไปอธิบายความกันต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้เกิดวุฒิภาวะทางประชาธิปไตย
นัก ประชาธิปไตยทุกคนควรถือเอาวันนี้เป็นวันชาติไทย ใครจะเฉลิมฉลองอย่างไรเป็นสิทธิแต่ละท่านที่จะพิจารณา แต่อย่างน้อยเราก็ควรที่จะถือเอาวันนี้เป็นสัญลักษณ์รวมการต่อสู้เพื่อ ประชาธิปไตยตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคตอย่างเป็นทางการ
บาง ท่านอาจจะหาความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย บางท่านอาจจะร่วมกิจกรรมเพื่อส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอันหลากหลาย และบางท่านอาจให้ความอนุเคราะห์ต่อนักสู้เพื่อมวลชนในวิถีทางต่างๆ ตามแต่กำลัง
ผลการ “ปรองดอง” จะเป็นอย่างไรต่อไปก็ไม่ทราบ “ระบอบไทย” จะ เป็นอย่างไรต่อไปก็ไม่รู้ แต่วันเฉลิมพระชนมพรรษาควรมีฐานะเพียงเท่านั้นใช่ไหม อุตส่าห์สร้างและฝังหัวด้วยคำขวัญกันมานานหลายสิบปีว่าบ้านเมืองนี้ตั้งอยู่ บน “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” แล้วเหตุใดต้องเอาสัญลักษณ์สองในสามคือ “ชาติ” และ “กษัตริย์” ไปรวมกันในวันเดียว ในขณะที่“ศาสน์” มีวันวิสาขบูชาที่กำหนดเอาไว้ให้เป็นวันประธานของตนเองต่างหากแล้วด้วย
การ เฉลิมพระเกียรติของกษัตริย์กระทำได้เสมอสำหรับคนที่มีฉันทาคติ และสามารถกระทำตรงต่อบุคคลผู้เป็นเป้าหมายได้ แต่ถ้านำไปผูกกับวันชาติและแสร้งลืมส่วนที่เป็นชาติเอาดื้อๆ เพราะไม่มีใครพูดถึง ก็จะดูราวกับว่าบ้านเมืองนี้ไม่มีสถาบันชาติ หรือทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าชาตินั้นเล็กกว่าบุคคล
๒๔ มิถุนายน มีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะเป็นวันชาติไทยทุกประการด้วยเหตุผลอันชัดเจน
ประการ ที่หนึ่ง การปฏิวัติประชาชนที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกของชาติเกิดขึ้นในวันนี้ ความเป็นชาติเกิดจากผู้นำและประชาชนรวมตัวกัน และในระบอบประชาธิปไตยนั้นผู้นำก็มาจากประชาชน ไม่ได้เกิดจากเหล็กไหลหรือกระบอกไม้ไผ่ เมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็นวันที่ตกลงกันว่าประชาชนจะอยู่อย่างไรกับกษัตริย์ วันนั้นก็เป็นวันสถาปนาชาติไทยขึ้นมาอีกครั้ง
ประการที่สอง การแยกชาติออกจากบุคคลเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง “ชาติ” ให้ เป็นอุดมการณ์ร่วมกัน รัฐที่เริ่มจากการปฏิวัติต่อสู้และรักษาความก้าวหน้าต่อมาจนเป็นรัฐ ประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อินเดีย อิสราเอล ฯลฯ ล้วนประสบความสำเร็จด้วยการแยกความเป็นชาติออกจากลัทธิบูชาบุคคลทั้งสิ้น
จอร์ช วอชิงตันปฏิวัติแยกตัวจากอังกฤษจนประสบความสำเร็จแล้วก็ลดตัวลงเล็กกว่าชาติ อยู่ในฐานะที่ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ของโลกใหม่ได้ แต่ก็ไม่ทำ
มหาตมะคานธีถึงจะมีฐานะอันศักดิ์สิทธิ์ ประหนึ่งเทพเจ้า แต่เขาก็แยกออกมารำลึกคนละส่วนกับความเป็นชาติของอินเดีย
เด วิด เบ็นกูเรียนคือบิดาผู้สร้างชาติอิสราเอลและเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก สุดท้ายก็ก้าวลงจากอำนาจไปทำสวนทำฟาร์มจนวาระสุดท้าย โดยไม่ต้องกลายเป็นเทพเจ้าของชาวยิว
เหล่านี้เป็นตัวอย่างของผู้นำที่เห็นแก่ชาติ
ประการ สุดท้าย มหาชนชาวไทยได้ต่อสู้เสียเลือดเสียเนื้อมาแล้วชัดเจนหลายครั้งหลายคราวว่า เขาต้องการมีส่วนรวมในฐานะพลเมืองของชาติ ไม่ใช่เพียงผู้อาศัยหรือประชาชนชั้นฝุ่นเมือง เขาจึงอยู่ในฐานะที่กล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่ารัฐนี้เป็นของเขาโดยแท้
๒๔ มิถุนายนจึงสมควรหวนกลับมาเป็นวันชาติ ใครที่ถือตนเองว่าเป็นนักประชาธิปไตยควรป่าวประกาศและแสดงออกร่วมกัน อย่างกว้างขวางว่าวันนี้เป็นวันชาติของประชาชนชาวไทย
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป.
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554
สวัสดี่ครับพี่น้องที่รัก ที่เดินทางตามหาประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทุกท่าน วันนี้ 24 มิถุนายน2554เป็นวันแรกที่เปิดบริการสถานีเติมความคิดแนวทางการต่อสู้ที่ยึดหลักเอาแนวทางเป้าหมายส่วนรวมเป็นฐานตั้ง เพื่อที่จะได้เดินร่วมถนนทางความคิดรวมกันต่อเติมเสริมความคิดให้เต็มพลัง.....
การพยายามโค่นล้มรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เราอาจกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มเรื่อง "พระราชอำนาจ"ที่เขียนขึ้นมาโดย ประมวล รุจนเสรี ถือว่าเป็นคำภีร์เอกที่ใช้ต่อสู้ในการถอดถอน อำนาจของพรรคไทยรักไทย ความจริงเป็นการเผยแพร่ ความคิดเดิมๆ ที่ดำรงอยู่ในกลุ่มคนที่ทำตัว "เป็นพวกกระทำตนเกินกว่า ราชา " หรือพวกเ้ลือดสีน้ำเงินเข้ม ที่ดำรงมาหลังปี ๒๔๗๕ ประวิติศาสตร์ของกลุ่มคนเหล่านี้ ได้มีความพยายามมาตลอด ที่จะรื้อฟื้นอำนาจพระมหากษัตริย์ให้มีมากขึ้น เหมือนในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เหตุการณ์ของการต่อสู้ที่ดุเดือดครั้งแรก ก็นำไปสู้กบฏบวรเดช ในปี๒๔๗๖ กลายเป็นสงครามกลางเมืองในอดีตคราวนั้น แล้วเป็นชนวนนำไปสู้การสละราชย์สมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๗ ในปี ๒๔๗๗ ต่อมาระหว่างช่วงปี ๒๔๘๑-๒๔๘๗ เป็นสมัยที่จอมพลป.พิบูลสงครามขึ้นครองอำนาจ กลุ่มเลือดสีน้ำเงินเข้มดังกล่าว ก็ถูกกดและปราบลงจนบทบาทเงียบไป ครั้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
ปรัดี พนมยงค์ ในฐานะที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็ผลักดันการยกเลิกกฎหมายซึงห้ามเจ้านายมีส่วนร่วมทางการเมือง ถือเป็นการประนีประนอมทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ แต่เป็นเรื่องที่รัฐบุรุษอาวุโสคนแรกของไทย คาดหมายไม่ถึงก็คือ พวกกลุ่มเลือดสีน้ำเงินเข้มเหล่านั้น ได้วางแผนแก้แค้น พร้อมกับเนินงานควบคู่ไปที่จะฟื้นอำนาจของกษัตริย์ขึ้นมาใหม่ แต่ไม่ใช่เป็นระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์แบบเดิม หากได้เปลี่ยนมาใช้แนวทางขยายพระราชอำนาจให้มากที่สุด ภายใต้รัฐธรรมนูญในแนวที่รัชกาลที่ ๗ ได้พยายามต่อสู้มาก่อน แต่ไม่บรรลุผล ??
มีการวางแผนที่แยบยลใส่ร้าย ปรีดี พนมยงค์ เกี่ยวกับคดีรอบปลงพระชนม์ รัชกาลที่ ๘ เมื่อปี ๒๔๘๙ ? นี้เป็นผลงานของสมาชิกกลุ่มเลือดสีน้ำเงินเข้มอีกครั้ง โดยพวกเขาลงทุนแม้กระทั้งชีวิตของพระมหากษัตริย์ เพื่อกำจัดปฏิปักษ์ทางการเมืองรัฐประหารปี ๒๔๙๐ จึงถือเป็นการปิดฉากของรัฐบุรุษอาวุโส พร้อมกับการจบบทของคณะราษฎรไปด้วย การรัฐประหารครั้งของ ผิน ชุณหวัณ และ เผ่า ศรียานนท์ ความจริงที่มีเบื่องหลัง ที่พวกเลือดสีน้ำเงินเข้มให้การสนับสนุน เต็มไปหมดโดยเฉพาะสองพี่น้องตระกูล ปราโมช ที่จ้องจองล้าง ปรีดี พนมยงค์ อย่างเอาจริงเอาจัง กลุ่มเลือดสีน้ำเงินเข้มพลิกกลับมามีบทบาทในอำนาจอีกครั้ง มีแกนสำคัญคือ สมเด็จฯกรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ก่อนหน้านั้นทรงมีบทบาทขัดขวางรัชกาลที่ ๗ ไม่ให้เกิดการปฏิรูปการเมือง และอีกบทบาทที่สำคัญได้แก่ การเป็นอาจารย์ที่ถวายการอบรมตระเตรียมยุวกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ เพื่อขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์
วาทะกรรมเกี่ยวกับพระราชอำนาจถือกำเนิดอย่างเป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง เมื่อครั้งที่สมเด็จฯกรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร หรือพระองค์เจ้าธานีนิวัต ได้แสดงปาฐกถาถวายแต่ พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระราชชนนี และสมเด็จพระอนุชาในขณะนั้น ต่อเนื่องภายหลังปาฐกถา พระองค์เจ้าธานีนิวัตทรงนิพนธ์บทความเป็นภาษาอังกฤษหัวข้อ The Old Siamese Conception of the Monarchy มันเป็นผลงานที่มีอิทธิพลและความสำคัญมาก เพราะเป็นการประมวลรวมยอดแนวทางความคิดหลักๆ ของลัทธิกษัตริย์นิยม ขึ้นมาเป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย และกลายเป็นฐานทางภูมิปัญญาของวาทะกรรมพระราชอำนาจ
ทฤษฎีและ วาทะกรรมชุดนี้กลายเป็นกรอบเค้าโครงทางความคิด สำหรับพัฒนาการของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยตลอดช่วงเวลา ๖๐ ปี ที่ผ่านมา จนทุกวันนี้ก็มีสถานะสูงส่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ? กระทั้งมาถึงวิกฤติทางการเมืองเรียกร้องโค่นล้มรัฐบาล และต้านกระแสโลกาภิวัตน์ในปัจจุบันได้เกิดกลุ่มสายเลือดสีน้ำเงินเข้มกลุ่ม ใหม่ พยายามรื้อฟื้นพระราชอำนาจตามรอยอดีต ด้วยการปรารถนาขยายพระราชอำนาจออกไปให้กว้างมากที่สุดตามรัฐธรรมนูญ กลุ่มที่ขัดแย้งกับรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
เป็นปฏิปักษ์กันจริงๆก็คือศูนย์กลางทางความคิดนี้เอง เป็นพวกทำตนเกินกว่าพระราชา ที่ดิ้นรนต้องการจะผลักดันพระราชอำนาจทางพฤตินัย กลายมาเป็นพระราชอำนาจอันชอบธรรมตามธรรมชาติของพระมหากษัตริย์ในทางนิตินัย มันจึงเป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่มักอ้างพระราชอำนาจมาตลอด ลิขิต ธีรเวคิน หัวหน้าพรรคพลังแผ่นดินได้กล่าวต่อหน้าผู้ร่วมสัมมนา เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๙ ในงานสัมมนาการเมืองการปกครองไทย ๒๕๔๙ ซึ้งดำเนินการโดย สถาบันพระปกเกล้าที่โรงแรม โซฟิเทล เซ็นทรัล เขาระบุชัดเจนว่า ได้มีความพยายามที่จะใช้ มาตรา ๗ ในการแก้ปัญหามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนกระบวนการใดๆ ที่นำมาตัดสินความขัดแย้งทางการเมือง แท้จริงแล้วคงล้วนเป็นเรื่องของมาตรา ๗ ทั้งหมด เห็นว่านับเป็นเรื่องของการใช้พระราชอำนาจ ที่ถูกแนวทางเลือดสีน้ำเงินเข้ม กระทำให้กลายเป็นอำนาจ ในทางนิตินัย ?
ในสถานการณ์ปัจจุบันเราอาจไม่มีพวกเลือดสีน้ำเงินแท้สายพันธ์ตรง แต่เรามีพวกเสื้อสีเหลืองแทน กลุ่มแรกคือเสื้อสีเหลืองที่สวมใสในวโรกาส ฉลอง ๖๐ ปี แสดงให้เห็นถึงจงรักภักดี กลุ่มนี้ไม่มีปัญหาอะไร แต่เสื้อสีเหลืองกลุ่มที่สอง เป็นขบวนการเสื้อเหลืองของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เรียกร้องการใช้อำนาจพิเศษพร้อมๆกับความพยายามที่จะขยายพระราชอำนาจเพิ้ม ขึ้น ในภายใต้รัฐธรรมนุญ ๒๕๔๐ ซึ้งผู้ที่ต้องการฉีกทิ้งได้เคยบอกว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุดของประเทศไทย ?????
การพยายามโค่นล้มรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เราอาจกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มเรื่อง "พระราชอำนาจ"ที่เขียนขึ้นมาโดย ประมวล รุจนเสรี ถือว่าเป็นคำภีร์เอกที่ใช้ต่อสู้ในการถอดถอน อำนาจของพรรคไทยรักไทย ความจริงเป็นการเผยแพร่ ความคิดเดิมๆ ที่ดำรงอยู่ในกลุ่มคนที่ทำตัว "เป็นพวกกระทำตนเกินกว่า ราชา " หรือพวกเ้ลือดสีน้ำเงินเข้ม ที่ดำรงมาหลังปี ๒๔๗๕ ประวิติศาสตร์ของกลุ่มคนเหล่านี้ ได้มีความพยายามมาตลอด ที่จะรื้อฟื้นอำนาจพระมหากษัตริย์ให้มีมากขึ้น เหมือนในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เหตุการณ์ของการต่อสู้ที่ดุเดือดครั้งแรก ก็นำไปสู้กบฏบวรเดช ในปี๒๔๗๖ กลายเป็นสงครามกลางเมืองในอดีตคราวนั้น แล้วเป็นชนวนนำไปสู้การสละราชย์สมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๗ ในปี ๒๔๗๗ ต่อมาระหว่างช่วงปี ๒๔๘๑-๒๔๘๗ เป็นสมัยที่จอมพลป.พิบูลสงครามขึ้นครองอำนาจ กลุ่มเลือดสีน้ำเงินเข้มดังกล่าว ก็ถูกกดและปราบลงจนบทบาทเงียบไป ครั้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
ปรัดี พนมยงค์ ในฐานะที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็ผลักดันการยกเลิกกฎหมายซึงห้ามเจ้านายมีส่วนร่วมทางการเมือง ถือเป็นการประนีประนอมทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ แต่เป็นเรื่องที่รัฐบุรุษอาวุโสคนแรกของไทย คาดหมายไม่ถึงก็คือ พวกกลุ่มเลือดสีน้ำเงินเข้มเหล่านั้น ได้วางแผนแก้แค้น พร้อมกับเนินงานควบคู่ไปที่จะฟื้นอำนาจของกษัตริย์ขึ้นมาใหม่ แต่ไม่ใช่เป็นระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์แบบเดิม หากได้เปลี่ยนมาใช้แนวทางขยายพระราชอำนาจให้มากที่สุด ภายใต้รัฐธรรมนูญในแนวที่รัชกาลที่ ๗ ได้พยายามต่อสู้มาก่อน แต่ไม่บรรลุผล ??
มีการวางแผนที่แยบยลใส่ร้าย ปรีดี พนมยงค์ เกี่ยวกับคดีรอบปลงพระชนม์ รัชกาลที่ ๘ เมื่อปี ๒๔๘๙ ? นี้เป็นผลงานของสมาชิกกลุ่มเลือดสีน้ำเงินเข้มอีกครั้ง โดยพวกเขาลงทุนแม้กระทั้งชีวิตของพระมหากษัตริย์ เพื่อกำจัดปฏิปักษ์ทางการเมืองรัฐประหารปี ๒๔๙๐ จึงถือเป็นการปิดฉากของรัฐบุรุษอาวุโส พร้อมกับการจบบทของคณะราษฎรไปด้วย การรัฐประหารครั้งของ ผิน ชุณหวัณ และ เผ่า ศรียานนท์ ความจริงที่มีเบื่องหลัง ที่พวกเลือดสีน้ำเงินเข้มให้การสนับสนุน เต็มไปหมดโดยเฉพาะสองพี่น้องตระกูล ปราโมช ที่จ้องจองล้าง ปรีดี พนมยงค์ อย่างเอาจริงเอาจัง กลุ่มเลือดสีน้ำเงินเข้มพลิกกลับมามีบทบาทในอำนาจอีกครั้ง มีแกนสำคัญคือ สมเด็จฯกรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ก่อนหน้านั้นทรงมีบทบาทขัดขวางรัชกาลที่ ๗ ไม่ให้เกิดการปฏิรูปการเมือง และอีกบทบาทที่สำคัญได้แก่ การเป็นอาจารย์ที่ถวายการอบรมตระเตรียมยุวกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ เพื่อขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์
วาทะกรรมเกี่ยวกับพระราชอำนาจถือกำเนิดอย่างเป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง เมื่อครั้งที่สมเด็จฯกรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร หรือพระองค์เจ้าธานีนิวัต ได้แสดงปาฐกถาถวายแต่ พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระราชชนนี และสมเด็จพระอนุชาในขณะนั้น ต่อเนื่องภายหลังปาฐกถา พระองค์เจ้าธานีนิวัตทรงนิพนธ์บทความเป็นภาษาอังกฤษหัวข้อ The Old Siamese Conception of the Monarchy มันเป็นผลงานที่มีอิทธิพลและความสำคัญมาก เพราะเป็นการประมวลรวมยอดแนวทางความคิดหลักๆ ของลัทธิกษัตริย์นิยม ขึ้นมาเป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย และกลายเป็นฐานทางภูมิปัญญาของวาทะกรรมพระราชอำนาจ
ทฤษฎีและ วาทะกรรมชุดนี้กลายเป็นกรอบเค้าโครงทางความคิด สำหรับพัฒนาการของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยตลอดช่วงเวลา ๖๐ ปี ที่ผ่านมา จนทุกวันนี้ก็มีสถานะสูงส่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ? กระทั้งมาถึงวิกฤติทางการเมืองเรียกร้องโค่นล้มรัฐบาล และต้านกระแสโลกาภิวัตน์ในปัจจุบันได้เกิดกลุ่มสายเลือดสีน้ำเงินเข้มกลุ่ม ใหม่ พยายามรื้อฟื้นพระราชอำนาจตามรอยอดีต ด้วยการปรารถนาขยายพระราชอำนาจออกไปให้กว้างมากที่สุดตามรัฐธรรมนูญ กลุ่มที่ขัดแย้งกับรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
เป็นปฏิปักษ์กันจริงๆก็คือศูนย์กลางทางความคิดนี้เอง เป็นพวกทำตนเกินกว่าพระราชา ที่ดิ้นรนต้องการจะผลักดันพระราชอำนาจทางพฤตินัย กลายมาเป็นพระราชอำนาจอันชอบธรรมตามธรรมชาติของพระมหากษัตริย์ในทางนิตินัย มันจึงเป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่มักอ้างพระราชอำนาจมาตลอด ลิขิต ธีรเวคิน หัวหน้าพรรคพลังแผ่นดินได้กล่าวต่อหน้าผู้ร่วมสัมมนา เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๙ ในงานสัมมนาการเมืองการปกครองไทย ๒๕๔๙ ซึ้งดำเนินการโดย สถาบันพระปกเกล้าที่โรงแรม โซฟิเทล เซ็นทรัล เขาระบุชัดเจนว่า ได้มีความพยายามที่จะใช้ มาตรา ๗ ในการแก้ปัญหามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนกระบวนการใดๆ ที่นำมาตัดสินความขัดแย้งทางการเมือง แท้จริงแล้วคงล้วนเป็นเรื่องของมาตรา ๗ ทั้งหมด เห็นว่านับเป็นเรื่องของการใช้พระราชอำนาจ ที่ถูกแนวทางเลือดสีน้ำเงินเข้ม กระทำให้กลายเป็นอำนาจ ในทางนิตินัย ?
ในสถานการณ์ปัจจุบันเราอาจไม่มีพวกเลือดสีน้ำเงินแท้สายพันธ์ตรง แต่เรามีพวกเสื้อสีเหลืองแทน กลุ่มแรกคือเสื้อสีเหลืองที่สวมใสในวโรกาส ฉลอง ๖๐ ปี แสดงให้เห็นถึงจงรักภักดี กลุ่มนี้ไม่มีปัญหาอะไร แต่เสื้อสีเหลืองกลุ่มที่สอง เป็นขบวนการเสื้อเหลืองของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เรียกร้องการใช้อำนาจพิเศษพร้อมๆกับความพยายามที่จะขยายพระราชอำนาจเพิ้ม ขึ้น ในภายใต้รัฐธรรมนุญ ๒๕๔๐ ซึ้งผู้ที่ต้องการฉีกทิ้งได้เคยบอกว่า เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุดของประเทศไทย ?????
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)